สอนวิธีอ่านค่า Tumer Marker CA 19-9 จากการตรวจเลือด

สอนวิธีอ่านค่า Tumor Marker CA 19-9 จากการตรวจเลือด

การอ่านค่า Tumor Marker CA 19-9 เป็นกระบวนการที่สำคัญในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อน มาดูกันว่าการอ่านค่า CA 19-9 ควรทำอย่างไรบ้าง

ความหมายของ CA 19-9

CA 19-9 เป็นตัวบ่งชี้มะเร็งที่ใช้ในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น:

      1. มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer)
      2. มะเร็งหลอดเลือดดี (Cholangiocarcinoma)
      3. มะเร็งกระเพาะอาหาร (Gastric Cancer)

CA 19-9 ถูกผลิตโดยเซลล์มะเร็งและสามารถตรวจพบได้จากเลือด

วิธีการตรวจ CA 19-9

การตรวจ CA 19-9 จะทำโดยการ:

เก็บตัวอย่างเลือด: ผู้ป่วยจะต้องไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อเก็บเลือด

วิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ: ใช้เทคนิคการตรวจวัดระดับ CA 19-9 โดยอาจใช้วิธีการตรวจวัดแบบอิมมูโนแอสเสย์ (Immunoassay)

การอ่านค่า CA 19-9

การตีความค่าที่ได้จากการตรวจ CA 19-9 มีรายละเอียดดังนี้:

ค่าปกติ:

ค่า CA 19-9 ที่ถือว่าปกติจะอยู่ที่น้อยกว่า 37 ยูนิต/มิลลิลิตร (U/mL)

ค่าผิดปกติ:

หากค่า CA 19-9 สูงกว่า 37 U/mL อาจบ่งบอกถึงการมีมะเร็งหรือโรคอื่นๆ เช่น:

โรคตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)

โรคทางเดินน้ำดีอักเสบ (Cholangitis)

การตีความ:

ค่าสูงไม่หมายความว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งเสมอไป แต่เป็นเพียงตัวบ่งชี้ที่ช่วยในการวินิจฉัยร่วมกับการตรวจสุขภาพอื่นๆ เช่น การถ่ายภาพรังสี (Imaging Studies) และการตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy)

การใช้ CA 19-9 ในการวินิจฉัย

มะเร็งตับอ่อน: CA 19-9 เป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์มากที่สุดในการวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน โดยเฉพาะในระยะที่มะเร็งได้แพร่กระจายไปแล้ว

มะเร็งอื่นๆ: ใช้ในการติดตามการรักษาและประเมินการตอบสนองต่อการรักษาในมะเร็งหลอดเลือดดีและมะเร็งกระเพาะอาหาร

ข้อจำกัดของ CA 19-9

ความจำเพาะและความไว: CA 19-9 ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่มีความจำเพาะและความไวสูงในการวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อนในระยะแรก เนื่องจากอาจสูงในโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง

การตรวจซ้ำ: อาจต้องทำการตรวจซ้ำหลายครั้งเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของค่า CA 19-9

แหล่งการวิจัย

ข้อมูลเกี่ยวกับ CA 19-9 มาจากแหล่งการวิจัยที่เชื่อถือได้ เช่น:

    • National Cancer Institute (NCI)
    • American Cancer Society (ACS)
    • Journal of Clinical Oncology

การอ่านค่า CA 19-9 ต้องทำอย่างระมัดระวังและควรมีการประเมินร่วมกับการตรวจสุขภาพอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุดเพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วย.