วิธีบรรเทาอาการคลื่นไส้จากเคมีบำบัด

วิธีบรรเทาอาการคลื่นไส้จากเคมีบำบัด

อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นปัญหาที่ผู้ป่วยหลายคนต้องเผชิญ ซึ่งสามารถสร้างความท้าทายต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ ดังนั้น การบรรเทาอาการเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดูแลอย่างรอบคอบ บทความนี้จะแนะนำวิธีและกลยุทธ์ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ที่เกิดจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของอาการคลื่นไส้อาเจียน

อาการคลื่นไส้อาเจียนจากการได้รับเคมีบำบัดสามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภท:

  • คลื่นไส้อาเจียนก่อนได้รับเคมีบำบัด (Anticipatory): เกิดขึ้นก่อนการรักษาด้วยเคมีบำบัด – คลื่นไส้อาเจียนหลังได้รับเคมีบำบัดภายใน 24 ชั่วโมง (Acute): เกิดขึ้นหลังการรักษาด้วยเคมีบำบัดภายใน 24 ชั่วโมง – คลื่นไส้อาเจียนหลังได้รับเคมีบำบัด 1 – 4 วัน (Delayed): เกิดขึ้นหลังการรักษาด้วยเคมีบำบัด 1 – 4 วัน

การดูแลทางโภชนาการ

การดูแลทางโภชนาการมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน:

  • รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้ง: ช่วยลดอาการคลื่นไส้จากการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ – ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำเย็นทีละน้อย: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ และอาจใช้น้ำขิงได้ แต่ประสิทธิภาพของขิงยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน – หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง มันจัด เผ็ดจัด หวานจัด และกลิ่นแรง: เลือกรับประทานอาหารรสอ่อน ๆ และย่อยง่าย

ยาแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน

ยาที่ใช้ในการบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังเคมีบำบัด ได้แก่:

  • ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (เช่น Dexamethasone): ช่วยลดผลข้างเคียงของอาการคลื่นไส้อาเจียน – 5-HT3 Antagonists: ยาที่ช่วยยับยั้งการทำงานของเซโรโทนิน – Neurokinin-1 receptor Antagonists: ใช้ร่วมกับ 5-HT3 Antagonists เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการ

การป้องกันอาการก่อนเกิด

การให้ยาป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนก่อนการให้ยาเคมีบำบัดเป็นเวลาหนึ่งวันถึงหลายวันหลังการรักษาสามารถช่วยลดโอกาสเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน

การเลือกใช้ยา

การเลือกใช้ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงและความรุนแรงของอาการ ควรพิจารณาวิธีการให้ยา เช่น การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ, การรับประทาน, หรือการฉีดเข้ากล้าม

สรุป

การดูแลอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการได้ดีขึ้น ลดผลกระทบต่อการรักษาโรคมะเร็ง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการใช้ทั้งวิธีการทางโภชนาการและการรักษาด้วยยาอย่างเหมาะสม