มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin และ Non-Hodgkin แตกต่างกันอย่างไร?
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin (Hodgkin Lymphoma) และชนิด Non-Hodgkin (Non-Hodgkin Lymphoma) ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองประเภทนี้อย่างละเอียด
ประเภทของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin (Hodgkin Lymphoma) – ลักษณะเฉพาะ: การพบเซลล์ Reed-Sternberg ซึ่งเป็นเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นในเฉพาะชนิดนี้ – การแพร่กระจาย: แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองในลักษณะที่เป็นระบบ โดยเริ่มจากต่อมน้ำเหลืองหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgkin (Non-Hodgkin Lymphoma) – ลักษณะเฉพาะ: ไม่มีเซลล์ Reed-Sternberg และมีหลายชนิดย่อยที่มากถึง 30 ชนิด โดยแบ่งตามอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง – การดำเนินโรค: แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ: – ชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indolent): มีการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งค่อนข้างช้า – ชนิดรุนแรง (Aggressive): มีอัตราการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเร็ว และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน – 1 ปี หากไม่ได้รับการรักษา
อาการที่สังเกตได้
อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin – การพบก้อนในต่อมน้ำเหลือง เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ โดยไม่มีอาการเจ็บ – อาจมีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือคันทั่วร่างกาย – อาการเบื่ออาหารและน้ำหนักลด
อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgkin – มีอาการเริ่มต้นคล้ายกับชนิด Hodgkin แต่การลุกลามและความรุนแรงอาจต่างกัน – ในระยะลุกลาม อาจพบอาการซีดหรือมีเลือดออกง่าย
การวินิจฉัยและรักษา
การวินิจฉัย – การวินิจฉัยทั้งสองชนิดสามารถทำได้ผ่านการตัดชิ้นเนื้อและตรวจทางพยาธิวิทยา
วิธีการรักษา – การเฝ้าติดตามโรคสำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งชนิดค่อยเป็นค่อยไป – การใช้ยาเคมีบำบัดและการฉายรังสี – การใช้แอนติบอดี้เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน – การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในกรณีที่จำเป็น
ผลลัพธ์และการดูแลตัวเอง
ผลลัพธ์ – หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดสูงถึง 5 ปี
การดูแลตัวเอง – ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ด้วยข้อมูลที่เราได้แชร์ไว้ข้างต้น หวังว่าคุณจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin และ Non-Hodgkin ได้ดียิ่งขึ้น หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม หรือสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ หรือการรักษา สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เสมอ