การตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารทำได้อย่างไรบ้าง?

การตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหาร: วิธีการและความสำคัญ

มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นโรคที่มีความรุนแรงและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารจึงมีความสำคัญเพื่อตรวจสอบและวินิจฉัยอย่างแม่นยำ ต่อไปนี้เป็นวิธีการหลัก ๆ ที่ใช้ในการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร:

1. การซักประวัติและอาการ การซักประวัติของผู้ป่วยเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ซึ่งรวมถึง: – การซักประวัติพฤติกรรมที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยง – ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต – การตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อตรวจหาลักษณะก้อนหรือความผิดปกติในช่องท้องและต่อมน้ำเหลือง

2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจทางห้องปฏิบัติการสามารถช่วยระบุการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่: – การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) – การตรวจการทำงานของตับและไต – การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ

3. การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (EGD) การตรวจสอบนี้มีความแม่นยำสูง โดยช่วยให้เข้าถึง: – หลอดอาหาร – กระเพาะอาหาร – ลำไส้เล็กส่วนต้น

การส่องกล้องนี้ยังสามารถตัดชิ้นเนื้อเยื่อเพื่อไปตรวจสอบเซลล์มะเร็ง และสามารถตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเอช.ไพโลไร (H. Pylori) ได้ด้วย

4. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของช่องท้อง (CT Scan) CT Scan ช่วยให้เห็นลักษณะพยาธิสภาพของมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างชัดเจน และสามารถดูการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและอวัยวะอื่น ๆ ในช่องท้อง รวมไปถึงตับและเยื่อบุช่องท้อง

5. การตรวจอื่น ๆ การตรวจคัดกรองที่สามารถทำเพิ่มเติม ได้แก่: – เอกซเรย์ปอด – การตรวจสแกนกระดูก (Bone scan / Scintigraphy) – PET/CT Scan ซึ่งช่วยให้เห็นพยาธิสภาพที่กระเพาะอาหารและตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็ง

สรุป การตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งสามารถช่วยในการวินิจฉัยและระบุระยะของโรคได้อย่างแม่นยำ การรู้จุดเริ่มต้นของโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญและจะช่วยในการกำหนดนโยบายการรักษาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมะเร็งกระเพาะอาหารยังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรองที่ชัดเจน การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและเฝ้าสังเกตอาการตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด.