วิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการการใช้หลายวิธีการตรวจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ เนื่องจากอาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักจะคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการตรวจวินิจฉัยที่สำคัญที่สุด ซึ่งรวมถึงขั้นตอนต่างๆ ดังนี้:
1. การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) การตรวจชิ้นเนื้อเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยแบ่งเป็นหลายรูปแบบ:
- การตัดชิ้นเนื้อออก (Excision Biopsy): การตัดต่อมน้ำเหลืองทั้งหมดออกเพื่อทำการตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด – การตัดชิ้นเนื้อแบบแกนกลาง (Core Biopsy): การเก็บตัวอย่างต่อมน้ำเหลืองโดยใช้เข็มกลวงให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้. – การตรวจชิ้นเนื้อด้วยเข็มละเอียด (Fine Needle Biopsy): ใช้เข็มขนาดเล็กในการเก็บตัวอย่าง แต่ไม่แนะนำสำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากมีโอกาสได้ตัวอย่างที่เล็กเกินไป.
2. การตรวจไขกระดูก (Bone Marrow Biopsy) ขั้นตอนที่ทำเพื่อเอาตัวอย่างไขกระดูกซึ่งมักจะนำมาจากกระดูกสะโพก เพื่อช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด และตรวจหาระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่น ๆ
3. การเจาะเอว (Lumbar Puncture – LP) การเจาะเอวดำเนินการเพื่อเอาตัวอย่างของเหลวน้ำไขสันหลัง เพื่อตรวจหามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการให้การฉีดเคมีบำบัดได้อย่างตรงจุด
4. การส่องกล้อง (Endoscopy) การส่องกล้องใช้ในการตรวจมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบทางเดินอาหาร แพทย์จะสอดท่อบาง ๆ เข้าไปในปากและตรวจหาสัญญาณของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รวมถึงการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อขนาดเล็ก
5. การใช้การสแกน การสแกนหลายประเภทสามารถช่วยในการวินิจฉัยหรือตรวจสอบระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เช่น:
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) – การถ่ายภาพด้วยเรโซนานซ์แม่เหล็ก (MRI) – การถ่ายภาพด้วยการปลดปล่อยโพซิตรอน (PET Scan)
การสแกนเหล่านี้ช่วยในการระบุระยะของมะเร็งและการตอบสนองต่อการรักษา