วิธีการตรวจและวินิจฉัยมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในสังคมไทย โดยการตรวจและวินิจฉัยมะเร็งเต้านมมีความสำคัญในการช่วยให้สามารถค้นพบโรคในระยะเริ่มต้น และเพิ่มโอกาสในการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะสรุปวิธีการตรวจและวินิจฉัยมะเร็งเต้านมที่แนะนำโดยหน่วยงานสาธารณสุขในประเทศไทยดังนี้
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self Examination: BSE) – คำแนะนำ: ผู้หญิงควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้สามารถสังเกตถึงข้อผิดปกติใดๆ เช่น ก้อนเนื้อ หรือการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง
การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ (Clinical Breast Examination: CBE) – คำแนะนำ: ผู้หญิงอายุ 40-70 ปี ควรได้รับการตรวจเต้านมโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละครั้ง – การตอบสนอง: หากพบความผิดปกติ ควรส่งต่อเพื่อการตรวจยืนยันเพิ่มเติม
การตรวจด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านม (Mammography: MM) – คำแนะนำ: สำหรับผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไป และมีประวัติการค้นพบความผิดปกติ ควรพิจารณาให้ทำการแมมโมแกรม – การทำงาน: ใช้เครื่องรังสีในการถ่ายภาพเต้านมเพื่อตรวจหาความผิดปกติ
การตรวจด้วยอัลตราซาวด์เต้านม (Ultrasound) – การใช้งาน: อัลตราซาวด์จะเป็นวิธีการเสริมในการตรวจเต้านม โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่มีขนาดเต้านมหรือเนื้อเต้านมหนา – ความแม่นยำ: การตรวจอัลตราซาวด์เฉพาะจุดจะช่วยตรวจสอบความผิดปกติที่พบได้แม่นยำยิ่งขึ้น
แนวทางการปฏิบัติหลังการตรวจพบความผิดปกติ – การส่งต่อ: หากพบความผิดปกติจากการตรวจ ควรส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์เฉพาะทาง – การวินิจฉัยเพิ่มเติม: เพื่อการตรวจยืนยัน ควรพิจารณาทำการตรวจอัลตราซาวด์และ/หรือแมมโมแกรมเพิ่มเติม
การติดตามผลการตรวจ – แพทย์ติดตาม: สำหรับผู้ที่ผลการตรวจไม่พบความผิดปกติ ควรนัดติดตามทุก 3 เดือนเป็นเวลา 6 เดือน – การตรวจเพิ่มเติม: หากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติเพิ่มเติม ควรส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทาง
สรุป การตรวจและวินิจฉัยมะเร็งเต้านมไม่ควรมองข้ามและควรจะทำอย่างเป็นประจำ การผสมผสานระหว่างการตรวจด้วยตนเอง, การตรวจโดยแพทย์, การทำแมมโมแกรม และการทำอัลตราซาวด์ จะช่วยให้เราสามารถตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิผล.